ครูไสล ไกรเลิศ เป็นชาวมหาชัย บ้านเดียวกับชาลี อินทรวิจิตร เป็นบุตรของนายบุญฤทธิ์ และนางทองย้อย ไกรเลิศ เริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนกล่อมพิทยาคาร และโรงเรียนวัดพระเชตุพน เริ่มเรียนดนตรีกับพระเจนดุริยางค์ ที่โรงเรียนพรานหลวง กรมมหรสพ และได้บรรจุเป็นนักไวโอลินประจำวงเครื่องสายฝรั่งหลวง ร่วมวงเดียวกับเอื้อ สุนทรสนาน
ไสล ไกรเลิศ ลาออกจากวงเครื่องสายฝรั่งหลวงในปี พ.ศ. 2475 ไปเล่นดนตรีในไนท์คลับกับนารถ ถาวรบุตร และไปเล่นดนตรีสลับฉากละคร ที่โรงละครปราโมทัย โรงละครเวิ้งนครเกษม และโรงละครวิมานนฤมิตร จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2483 ได้กลับมาร่วมงานกับพระเจนดุริยางค์ ในวงดุริยางค์กองทัพอากาศ ตำแหน่งนักไวโอลิน และมีโอกาสได้ร่วมงานในภาพยนตร์ไทยเรื่อง บ้านไร่นาเรา ของกองทัพอากาศไทย
ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ครูไสลได้ไปร่วมวงดนตรีของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ร่วมกับครูนารถ ถาวรบุตร ต่อมาหลังสงคราม ได้ร่วมงานกับสุทิน เทศารักษ์ ช่วยกันแต่งเพลง และปลุกปั้น ชรินทร์ นันทนาคร และสุเทพ วงศ์กำแหง จนมีชื่อเสียง เพลงที่มีชื่อเสียงคือเพลง "ดวงใจในฝัน" ขับร้องโดย ชรินทร์ นันทนาคร บันทึกเสียงครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2494
ผลงานเพลงของครูไสล ไกรเลิศ ที่มีชื่อเสียงที่สุด คือเพลง "บุเรงนองรำลึก" (หรือ "ผู้ชนะสิบทิศ") และเพลงในชุดเดียวกัน เช่นเพลง "บุเรงนองลั่นกลองรบ" "กล่อมอิระวดี" "กุสุมายอดรัก" "จอมใจจะเด็ด" "ยอดพธูเมืองแปร" โดยได้รับอนุญาตจาก ยาขอบ
ผลงานเพลงอื่นๆ ที่มีชื่อเสียง ได้แก่เพลง "ดวงใจในฝัน" "เสียงสะอื้นจากสายลม" "สายลมเหนือ" "ม่านไทรย้อย" "กากีเหมือนดอกไม้" "อิเหนารำพัน" "หัวหินสิ้นมนต์รัก" "ม่านประเพณี"
ครูไสล ไกรเลิศ ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทาน ในปี พ.ศ. 2527 จากเพลง "ม่านประเพณี" ขับร้องโดย สถาพร มุกดาประกร บันทึกเสียงครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2493